บรรทุกของเกินขนาด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
อัพเดทล่าสุด: 19 เม.ย. 2025
74 ผู้เข้าชม
บรรทุกของเกินขนาด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
1. บดบังวิสัยทัศน์ สิ่งของล้นออกทุกทิศทางจนมองไม่เห็นรถที่ตามมาด้านหลัง มองไม่เห็นรถด้านข้าง อันตรายต่อตนเองและเพื่อนร่วมทาง
2. เสี่ยงเกิดยางระเบิด หรือรถเสียหาย เนื่องจากเป็นการบรรทุกเกินกว่าสมรรถนะของยางและระบบช่วงล่าง
3. อายุการใช้งานของยางลดลงอย่างรวดเร็ว ยางสึกหรอเร็ว เพราะการบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราส่งผลให้การเคลื่อนไหวของหน้ายางมีมากขึ้น และยังทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนระหว่างหน้ายางกับโครงยางลดลง
4. รถเสียสมดุล เสียหลักง่าย โอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้น เพราะรถเสียสมดุลการถ่ายน้ำหนัก ทำให้ตอนหน้ารถเบา จนล้อหน้าขาดแรงยึดเกาะถนน เลี้ยวยาก-เบรกยาก หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น รถตัดหน้า ถนนลื่น จะเสียหลักได้ง่าย
บรรทุกของหลังกระบะ ให้ปลอดภัย ไม่ผิดกฎหมาย
1. บดบังวิสัยทัศน์ สิ่งของล้นออกทุกทิศทางจนมองไม่เห็นรถที่ตามมาด้านหลัง มองไม่เห็นรถด้านข้าง อันตรายต่อตนเองและเพื่อนร่วมทาง
2. เสี่ยงเกิดยางระเบิด หรือรถเสียหาย เนื่องจากเป็นการบรรทุกเกินกว่าสมรรถนะของยางและระบบช่วงล่าง
3. อายุการใช้งานของยางลดลงอย่างรวดเร็ว ยางสึกหรอเร็ว เพราะการบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราส่งผลให้การเคลื่อนไหวของหน้ายางมีมากขึ้น และยังทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนระหว่างหน้ายางกับโครงยางลดลง
4. รถเสียสมดุล เสียหลักง่าย โอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้น เพราะรถเสียสมดุลการถ่ายน้ำหนัก ทำให้ตอนหน้ารถเบา จนล้อหน้าขาดแรงยึดเกาะถนน เลี้ยวยาก-เบรกยาก หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น รถตัดหน้า ถนนลื่น จะเสียหลักได้ง่าย
บรรทุกของหลังกระบะ ให้ปลอดภัย ไม่ผิดกฎหมาย
- ความกว้าง ต้องไม่เกินความกว้างของรถ
- ความสูง รถกระบะ บรรทุกให้สูงจากพื้นทางได้ไม่เกิน 3 เมตร กรณีรถที่มีความกว้างเกิน 2.30 เมตร บรรทุกได้สูงไม่เกิน 4 เมตร จากพื้นทาง (*กฎกระทรวง ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2550 ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522)
- ความยาว ด้านหน้ายื่นไม่เกินหน้าหม้อรถ ด้านหลังยื่นพ้นตัวรถไม่เกิน 2.5 เมตร ติดธงสีแดงหรือไฟสัญญาณแสงแดง ให้รถคันหลังเห็นได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร
- การป้องกัน ต้องจัดให้มีสิ่งป้องสิ่งของ ไม่ให้ตกหล่นจากรถ หรือปลิวไปจากรถ อาจก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อน เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
“รถยนต์” ยานพาหนะที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ในปัจจุบันกระแสการใช้พลังงานสะอาดและยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความนิยมอยากมาก จนได้มีการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV ออกมามากมายหลายรุ่นด้วยกันซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปในท้องถนนที่เราคุ้นเคยกันดี ยังมีรถยนต์อีกประเภท นั่นก็คือ รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน นวัตกรรมใหม่ที่น่าจับตามอง ที่อาจจะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญในตลาดรถยนต์ในอนาคต
“ทำไมต้องทำประกันรถยนต์” หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่หลายคนคงสงสัย บางคนอาจจะเห็นว่าไม่เห็นจำเป็นเลย ทำไมต้องมาจ่ายเบี้ยประกันภัยทุกปี ทั้งที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย เสียดายเงินเปล่าๆ สาเหตุเป็นเพราะหากเมื่อคุณเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ประกันรถยนต์จะช่วยแบกรับความเสี่ยงในการเสียค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุให้กับผู้ทำประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุ รถหาย รถพัง และทำให้ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์ได้รับการชดเชยอย่างทันท่วงที เพื่อที่จะได้นำเงินส่วนนั้นไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล จ่ายค่าซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหาย โดยทางบริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าความเสียหายให้ตามจำนวนทุนประกันที่ซื้อไว้ วันนี้เราจะพาไปดู 3 เหตุผลว่าทำไมคุณต้องทำประกันรถยนต์